เหลือเวลาอีกไม่ถึง 10 วัน การแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022 จะเริ่มเปิดฉากฟาดแข้งกันอย่างเป็นทางการ ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน-18 ธันวาคม 2565
ส่วนหนึ่งให้โฟกัสอยู่กับเกมลูกหนังที่จัดขึ้นทุกๆวงรอบ 4 ปี ถึงแม้ทีมฟุตบอลไทยจะยังไม่มีโอกาสเข้าร่วมฟาดแข้งฟุตบอลโลก แต่สำหรับคนไทยแล้วนั้นฟุตบอลโลกสำคัญต่อคนกลุ่มหนึ่งที่คาดหวังจะได้รับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจว่า มีคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้สนใจและติดตามฟุตบอลโลก
แน่นอนว่าสำหรับ ฟุตบอลโลก มันคือเกมกีฬาที่จะสะกดจิตคนไทย
ในส่วนของการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 กับเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ เป็นวาระระดับประเทศที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก…
ต้นตอปัญหาเกิดขึ้นเมื่อตอนฟุตบอลโลก 2014 บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2014 มาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ดันไปออกกฎ มัสต์แฮฟ (Must Have) 7 มหกรรมกีฬาที่คนไทยต้องดูฟรีประกอบด้วย ซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์, เอเชี่ยนพาราเกมส์, โอลิมปิกเกมส์, พาราลิมปิกเกมส์ และฟุตบอลโลก
แถมยังมีกฎควบคู่กันนั่นคือ มัสต์แครี่ (Must Carry) ที่ระบุว่า ต้องดำเนินการให้ทุกแพลตฟอร์มให้คนไทยได้ชมแบบฟรี ๆ
ฟุตบอลโลกตอนปี 2014 นั่นคือผลิตภัณฑ์สินค้า 1 ตัว ที่ภาคเอกชนลงทุนเพื่อแสวงหาผลกำไรตามวิถีทางของการดำเนินงานธุรกิจ แต่เมื่อ Must Have และ Must Carry ประกาศออกมาย้อนหลัง มันคือฝันร้ายของอาร์เอส ณ เวลานั้น ด้วยเหตุว่าผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในมือ บูดเน่า ทันที
ตอนนั้นอาร์เอส โดย เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ด้วยเหตุว่ามองว่า Must Have และ Must Carry ที่ออกมาจากภาครัฐนั้นไม่มีความเป็นกลางกับอาร์เอส
ตอนนั้นศาลปกครองให้การคุ้มครองอาร์เอส และภาครัฐต้องเข้าไปเยียวยาจ่ายค่าเสียหายให้อาร์เอสกระทั่งไม่ขาดทุนกับเงินที่จ่ายไป แถมยังยุ่งวายในส่วนที่ประชาชนคนไทยที่ลงทุนซื้อกล่องบอกรับสัญญาณของอาร์เอสเพื่อตระเตรียมดูฟุตบอลโลก 2014 ไปแล้วต้องคืนกล่อง และอาร์เอสต้องคืนเงินลูกค้ากันยุ่งวายไปหมด
นับตั้งแต่ปี 2014 กฎ Must Have และ Must Carry ยังคงตามหลอกหลอน
และบ่อนทำลายวิถีทางธุรกิจกีฬาลงอย่างทั้งหมด ประเทศที่เขาเคารพในกติกานั้น ภาครัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซงการค้าเสรีที่ภาคเอกชนกล้าลงทุน ปล่อยให้เป็นไปตามวิถีทางธุรกิจ หรือถ้าหากภาครัฐต้องการเข้าไปร่วมมือกับภาคเอกชนในการดำเนินการก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การสนทนากับเจ้าของลิขสิทธิ์ที่ได้สิทธิบริหารมาจากฟีฟ่า
ตอนฟุตบอลโลก 2018 ก็ยุ่งวายในเรื่องการซื้อลิขสิทธิ์ด้วยเหตุว่าภาครัฐต้องลงทุนส่วนหนึ่งและไป หักคอ ภาคเอกชนรายใหญ่ระดับประเทศอีกส่วนหนึ่งมาร่วม ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้เต็มใจที่จะมาเปิดตลาดทางธุรกิจกับผลิตภัณฑ์ฟุตบอลโลก
มาถึงฟุตบอลโลก 2022 เอเยนต์ของฟีฟ่ารู้อยู่เต็มอกว่าประเทศไทยนั้นยังไงก็ต้องซื้อลิขสิทธิ์แน่ ๆ และต้องซื้อ ฟูล แพคเกจ ถ่ายทอดสด 64 แมตช์ผ่านทุกแพลตฟอร์ม ด้วยเหตุว่ายังมีข้อจำกัด Must Have และ Must Carryอยู่ ดังนั้น เอเยนต์ฟีฟ่าก็เลยเรียกราคามาในส่วนประเทศไทย 38 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,399,920,000 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยน ณ วันที่ 10 เดือนพฤศจิกายน2565)
จำนวนดังกล่าวทำให้ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงกีฬา รวมถึงคนฟุตบอลไทยต่างต้องตกใจและแปลกใจ ด้วยเหตุว่าจำนวนมันสูงกว่าหลาย ๆ ประเทศอีกทั้งในอาเซียน, เอเชีย และยุโรป รวมไปถึงประเทศไทยถูกเรียกค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกแพงกว่าสหรัฐอเมริกาอีกด้วยอย่างนั้นหรือ…???
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูว่า
จำนวนดังกล่าวเกิดจาก ข้อข้อเท็จจริง ที่ฟีฟ่า โก่ง ราคาประเทศไทย หรือมีการปรับแต่งจำนวนกันกระทั่งไปถึงหลัก 38 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ในเรื่องการดำเนินการคือ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในฐานะคนรับผิดชอบในการสนทนากับฟีฟ่า ต้องหาเงินมาซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 เป็นเงิน 1,600 ล้านบาท
กกท.ก็เลยตัดสินใจขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก กสทช.ในฐานะที่ออกกฎ Must Have และ Must Carry กีดกันกระทั่งทำให้ไม่มีภาคเอกชนรายใดกล้ามาลงทุนซื้อ
กรณีดังกล่าวมีอีกทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และฝ่ายที่ถกเถียง แต่ดูเหมือนว่าเสียงถกเถียงจะ หนาหู กว่ามากมาย บ้างก็พูดว่า ถ้าจะนำเงินภาครัฐซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 1,600 ล้านบาท นำเงินไปแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้องที่คนไทยต้องประสบพบเจอปัญหาเศรษฐกิจ น้ำหลากอยู่ดีกว่าหรือไม่…???
บทสรุปบอร์ด กสทช.ไฟเขียวอนุมัติงบประมาณมาให้ กกท.วงเงิน 600 ล้านบาท ในการไปซื้อลิขสิทธิ์ แต่…ต้องเข้าใจว่า กกท.ขอไป 1,600 ล้านบาท ยังขาดอยู่อีก 1,000 ล้านบาท คำถามคือ กกท.จะไปเอาเงินจากส่วนไหนมาเพิ่มเติม
ล่าสุด วันที่ 10 พฤศจิกายน มีข่าวซุบซิบว่ารัฐบาลสนทนากับภาคเอกชนรายใหญ่ระดับประเทศ 5 ราย เพื่อขอเงินช่วยเหลือรายละ 200 ล้านบาท เพื่อนำมาโปะส่วนที่ขาดอีก 1,000 ล้านบาท เพื่อไปรวมกับเงินของ กสทช. 600 ล้านบาท ในการไปซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2022 ชนิด โค้งสุดท้าย ก่อนเริ่มการแข่งขันเพื่อให้คนไทยได้รับชมการถ่ายทอดสดกับแบบฟรี ๆ
คำถามคือ ทำไมประเทศไทยต้องรอให้ถึงเวลาโค้งสุดท้ายในการดำเนินการสนทนากับฟีฟ่า ทั้ง ๆ ที่ฟุตบอลโลกจัดแข่งขัน 4 ปีครั้ง เวลาที่ผ่านมา 4 ปี ทำอะไรกันอยู่…?
คำถามต่อมาคือ ทำไมรัฐบาลยังปล่อยให้ กสทช.บังคับใช้กฎ Must Have และ Must Carry ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ากฎดังกล่าวเป็นปัญหามานับตั้งแต่ปี 2014…?
อีกคำถามคือ ทำไมรัฐบาลถึงยอมที่จะเสียเงินรัฐทุก ๆ วงรอบ 4 ปี ในการต้องไปซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกให้คนไทยได้รับชมแบบฟรี ๆ ทำไมไม่ยอมรับกติกา ธุรกิจกีฬา…?
ณ เวลานี้ กสทช.เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า Must Have และ Must Carry ที่ตนเองผลิตขึ้นมากลายเป็นหอกกลับมาทิ่มแทงตนเองด้วยเหตุว่าทุก ๆ 4 ปี ต้องเสียเงินของ กสทช.ไม่มากก็น้อยในการไปช่วยซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก ดังนั้น กสทช.ตระเตรียมประกาศถอด ฟุตบอลโลก ออกจาก Must Have โดยให้คงไว้ 6 มหกรรมกีฬาคือ ซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์, เอเชี่ยนพาราเกมส์, โอลิมปิกเกมส์ และพาราลิมปิกเกมส์
ข้อดีของการถอด ฟุตบอลโลก ออกจาก Must Have
คือ เปิดทางภาคเอกชนสามารถกลับเข้าไปร่วมประมูลซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอล และคืนระบบ ธุรกิจกีฬา กลับสู่ตลาดกีฬา
ฟุตบอลโลก 2026 ที่สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก และแคนาดา ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ จะมีภาคเอกชนกลับเข้าไปลงทุนซื้อลิขสิทธิ์มาแสวงหาผลกำไร ซึ่งคนไทยต้องเคารพในกติกา อาจต้อง เสียเงิน ในการดูฟุตบอลโลกด้วยเหตุว่าพวกเราต้องเรียนรู้วัฒนธรรมกีฬาของโลกมันพัฒนาไปไกลเกินกว่าที่จะมานั่งรอรัฐบาลซื้อมาให้ดูแบบฟรี ๆ กันได้แล้ว
แต่สำหรับฟุตบอลโลก 2022 คนไทยได้ดูถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 แบบฟรี ๆ เป็นการทิ้งทวน 64 แมตช์อย่างแน่นอน
แม้ว่าจะกระท่อนกระแท่น ชนิดต้องลุ้นกันแบบใจหายใจคว่ำว่าจะได้ดูฟุตบอลโลก 2022 กันหรือไม่…!!!